จังหวัดสุรินทร์มีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ 3,705,743 ไร่ คิดเป็น 72% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวปี 2563/64 จำนวน 2,888,900 ไร่ กระจายตามพื้นที่เป้าหมายครอบคลุมทั้ง 17 อำเภอ แยกเป็น ข้าวหอมมะลิ จำนวน 2,874,800 ไร่ ข้าวเจ้า 1,100 ไร่ และข้าวอินทรีย์ 13,000 ไร่
นายประสงค์ ทองพันธ์
ผู้อำนวยการกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ กรมการข้าว กล่าวว่า
จังหวัดสุรินทร์เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ที่สำคัญแห่งหนึ่งในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้
ที่กรมการข้าวได้เข้ามาส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
โดยขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์หรือ Organic
Thailand จำนวน 510 กลุ่ม เกษตรกร 9,460 ราย พื้นที่
96,391.75 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10% ของพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด 1 ล้านไร่ และได้มีการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์
จำนวน 183 กลุ่ม โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ทำ MOU กับกลุ่มเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ จำนวนทั้งสิ้น 9 บริษัท ได้แก่
บริษัท ข้าว ซี.พี.จำกัด บริษัท เจ พี ไรซ์ อินเตอร์เนชันแนล (1998) จำกัด บริษัท
ไชยศิริ ไรซ์ อินเตอร์เทรด หจก.สุรินทร์ไชยศิริ สหกรณ์อินทรีย์ทัพไทย
โรงสีข้าววิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบุฤาษี สหกรณ์การเกษตรปราสาท จำกัด บริษัท
พูนผล เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เอลล์บา บางกอก จำกัด
กรมการข้าวได้ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์
จึงได้นำคณะผู้บริหารกรมการข้าวและสื่อมวลชนลงพื้นที่ชมเส้นทางการผลิตข้าวเปลือกอินทรีย์
ไปจนถึงกระบวนการสีแปรออกมาเป็นสินค้าข้าวคุณภาพ มีมาตรฐานรับรองทั้ง Q และ
Organic Thailand รวมทั้งสัญลักษณ์ข้าวพันธุ์แท้จากกรมการข้าว
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าข้าวทุกเมล็ดได้ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้คุณภาพ
มีความปลอดภัยและคุ้มค่ากับราคา
นายฐิติวิชญ์ เศรษฐพัฒนชัย
กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.พี.ไรซ์ อินเตอร์เนชั่แนล (1998) จำกัด 1
ในผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ของจังหวัดสุรินทร์
เล่าว่า
จากการจำหน่ายข้าวทั้งในและต่างประเทศทำให้ทราบความต้องการของลูกค้าว่าต้องการข้าวที่มีคุณภาพมาตรฐานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะมีความห่วงใยเรื่องสุขภาพมากขึ้น
ทำให้ลูกค้ามองหาสินค้าข้าวที่เป็นข้าวอินทรีย์มากขึ้น
พอรัฐบาลมีโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์
ทางโรงสีได้เข้าร่วมโครงการโดยร่วมมือกับกรมการข้าวเพื่อให้มีการผลิตข้าวอินทรีย์ตามมาตรฐานสากลมากขึ้น
โดยมีกลุ่มเกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์จากกรมการข้าว มาทำ MOU
กับโรงสีของเราตกลงซื้อขายข้าวอินทรีย์
ซึ่งมีการตั้งเป้ารับซื้อข้าวประมาณ 500-1,000 ตันต่อปี
ทางโรงสีจะมีการควบคุมคุณภาพข้าวเปลือกตั้งแต่แปลงนาของเกษตรกร
โดยเกษตรกรที่จะขายข้าวให้กับโรงสีต้องมีการจดบันทึกข้อมูลและมีการยืนยันได้ว่าไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ
ซึ่งกว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิอินทรีย์ที่ผ่านมาตรฐาน Organic Thailand ได้นั้นต้องผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนถึง
3 ปี
กว่าจะเปลี่ยนจากทำนาโดยใช้สารเคมีมาเป็นปลอดสารเคมีนั้นเกษตรกรต้องมีความอดทน
ใจสู้ เพราะช่วงแรกค่อนข้างลำบากผลผลิตจะตกต่ำลง
ทางโรงสีก็จะช่วยให้กำลังใจประคับประคองให้เขารอดพ้นระยะปรับเปลี่ยนจนผ่านการรับรองมาตรฐาน
Organic Thailand ให้ได้
โดยข้าวหอมมะลิอินทรีย์จะรับซื้อในราคาที่สูงกว่าข้าวหอมมะลิทั่วไปประมาณ 2,000
บาทต่อตัน ตั้งเป้าปีการผลิตนี้จะรับซื้อไม่ต่ำกว่า 500 ตัน
ทางโรงสีข้าวเจพีไรซ์มีความตั้งใจอยากให้ผู้บริโภคชาวไทยได้กินข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของดีมีคุณภาพและปลอดภัยมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะปีนี้เป็นปีแรกที่ผลผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของเกษตรกรที่ร่วมโครงการข้าวอินทรีย์
1 ล้านไร่ จากระยะปรับเปลี่ยนมาสู่ระยะที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic
Thailand 100%
จะเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นข้าวสารหอมมะลิอินทรีย์วางจำหน่ายในท้องตลาดมากขึ้น
อยากขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าถ้าข้าวถุงไหนที่มีเครื่องหมาย Organic
Thailand เครื่องหมาย Q และเครื่องหมายรับรองข้าวพันธุ์แท้จากกรมการข้าว
ขอให้มั่นใจได้ว่าเป็นข้าวที่ปลอดสารเคมีจริงๆ
มาจากแปลงของเกษตรกรและโรงสีที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน
ท้ายนี้อยากฝากถึงผู้บริโภคหากเห็นสินค้าข้าวตราชามทองวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ
เลือกซื้อได้เลยเพราะมีเครื่องหมายการันตีเป็นข้าวที่ได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทยจริงๆ
แล้วเราทำด้วยใจจริง
ร่วมมือกับเกษตรกรเพื่อให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพปลอดภัยส่งตรงถึงมือผู้บริโภค
ทางด้านวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ตำบลบุฤาษี
อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็นหนึ่งกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิต
และแปรรูปข้าวอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าข้าว Q , Organic
Thailand และข้าวพันธุ์แท้จากกรมการข้าว โดยนายตู้
สุขนึก ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าถึงที่มาว่า เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2547
จากพี่น้องที่มีความสนใจเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าวอินทรีย์
ผักอินทรีย์ใช้บริโภคในครอบครัวเหลือก็จำหน่าย ต่อมาชาวบ้านในพื้นที่เห็นว่าดีจึงมาเข้าร่วมเป็นกลุ่มกสิกรรมธรรมชาติ
และในปี 2556 กลุ่มโตขึ้นมีสมาชิก 47 คน และได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์
ต.บุฤาษี ในการทำวิสาหกิจชุมชนใช้ทุนทรัพย์ของพวกตนเอง ปลูกเอง แปรรูป และขายเอง
จนยืนหยัดอยู่ได้มาถึงปัจจุบันกลุ่มมีทรัพย์สินรวมทั้งหมดประมาณ 8 ล้านบาท
มีสมาชิก 420 คน ปลูกข้าวอินทรีย์ให้ทางกลุ่มฯ มีโรงสีขนาดกำลังการผลิต
10 ตันต่อวัน มีโรงบรรจุที่ได้รับการรับรอง อย. GMP HACCP ได้รับการรับรองคุณภาพข้าวหอมมะลิสุรินทร์
GI และได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าข้าว Q
, Organic Thailand และข้าวพันธุ์แท้จากกรมการข้าว
ปัจจุบันกลุ่มทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
สามารถส่งออกข้าวอินทรีย์ของจังหวัดสุรินทร์ไปต่างประเทศได้ปีละ 400 ตัน
โดยกลุ่มมุ่งมั่นจะผลิตข้าวอินทรีย์ ส่งออกให้ได้ปีละ 1,000 ตัน ต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็งและอยู่ได้อย่างมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
คือ
กลุ่มมีกฎระเบียบข้อบังคับที่ถือเป็นกฎเหล็กในการรับสมาชิกเข้าร่วมอย่างเข้มงวด
เช่น ผู้จะเข้ามาต้องผ่านการปลูกข้าวอินทรีย์ 5 ปีก่อนถึงจะเป็นสมาชิกได้
และต้องคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจในการผลิตข้าวอินทรีย์เท่านั้น
ซึ่งสมาชิกเริ่มแรกจะเป็นเพียงสมาชิกชั่วคราวก่อน 5 ปี
หากผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการถึงจะเลื่อนเป็นสมาชิกถาวรที่สามารถถือหุ้นได้
เนื่องจากการทำนาอินทรีย์ต้องทุ่มเท
การใช้ระยะปรับเปลี่ยนจากนาเคมีมาเป็นอินทรีย์ในระยะ 2-3
ปีจึงไม่เห็นผลถึงความตั้งใจและทุ่มเทมากพอ
ทางกลุ่มจึงต้องมีกฎเคร่งครัดเพื่อคัดคนที่มีใจรักจริงๆ มาเข้าร่วมกลุ่ม
นอกจากนี้จะมีการจัดอบรมทุกปีๆ ละ 2
ครั้งทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกเก่า มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน
ที่สำคัญมีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพทั้งระบบทั้งจากสมาชิกกลุ่มกันเองและเจ้าหน้าที่กรมการข้าว
อีกทั้งส่งตัวอย่างให้กับห้องปฏิบัติการกลาง หรือเซ็นทรัลแล็บ
ตรวจสอบว่าเป็นข้าวอินทรีย์ 100% และไม่มีเชื้อราเจือปน
ซึ่งการควบคุมมาตรฐานสินค้าข้าวของเราช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าเป็นข้าวคุณภาพมาตรฐานอินทรีย์มีความปลอดภัยจริงๆ
และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น