นายทรรศนะ ลาภรวย ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวและรายได้ของชาวนา โดยจัดทำแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เพื่อบริหารจัดการข้าวตลอดห่วงโซ่อุปทาน กรมการข้าวเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านข้าวและพี่น้องชาวนา ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ซึ่งโครงการสำคัญเหล่านี้มีการเชื่อมโยงบูรณาการกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักและเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ทำรายได้ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยแต่ละปีทำรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 200,000 ล้านบาท แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันการส่งออกข้าว มีการแข่งขันสูงทั้งตลาดภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียมีศักยภาพในการผลิตข้าวสูงขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าทำให้ส่งผลกระทบต่อราคาการจำหน่ายข้าวไปยังต่างประเทศของไทยที่มีราคาแพงกว่าประเทศอื่นๆ ในระดับคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในด้านการพัฒนาระบบมาตรฐานการผลิตข้าวและเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นในการผลิตข้าวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงเป็นโอกาสดีที่จะใช้มาตรฐานดังกล่าวมาพัฒนาและยกระดับการผลิตข้าวคุณภาพดีของชาวนาไทยให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
กรมการข้าว โดยกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์
เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานข้าว
ตามมาตรฐานสินค้าเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Certification
Authorize : CA) และกองตรวจสอบ รับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์
ในฐานะหน่วยรับรอง (Certification Body : CB) ที่ได้รับการรับรอง
จากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17065 ได้ขับเคลื่อนงานด้านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานข้าวคุณภาพครบวงจร ตั้งแต่การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับเมล็ดพันธุ์ข้าว
การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวและข้าวหอมมะลิไทย หรือข้าว GAP ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ Organic Thailand การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าว
และการผลิตข้าวสาร Q (Q Product) ทำให้เกิดระบบตามสอบ (Traceability)
ของข้าวคุณภาพตามมาตรฐานสินค้าเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายประสงค์ ทองพันธ์
ผู้อำนวยการกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
มีเป้าหมายพื้นที่ 1 ล้านไร่ โดยกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์
ได้ดำเนินตรวจประเมินและให้การรับรองกลุ่มเกษตรกรรวมทั้งสิ้น 4,842 กลุ่ม เกษตรกร 102,566
ราย พื้นที่ 911,591.25 ไร่ สำหรับจังหวัดสุรินทร์ผ่านการรับรอง
จำนวน 510 กลุ่ม เกษตรกร 9,460 ราย พื้นที่ 96,391.75 ไร่ นอกจากนี้ได้พัฒนาระบบการตรวจสอบและออกใบรับรองมาตรฐานข้าวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(Rice Certification System : Rice Cert) มีกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ตามมาตรฐานสินค้าเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตั้งแต่กระบวนการรับรอง
ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ขอบข่ายแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ไปจนถึงกระบวนการแปรรูปและคัดบรรจุข้าวอินทรีย์
จนได้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพ (Q Product) ผ่านการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว
GAP ตามนโยบายของรัฐบาล
รวมถึงการใช้เครื่องหมายรับรองข้าวพันธุ์แท้บนบรรจุภัณฑ์สินค้าข้าวคุณภาพ (Q
Product) ซึ่งกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานข้าวอย่างครบวงจร
จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของภาคการผลิตข้าวทั้งระบบของประเทศ
สร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นทั้งต่อตัวผู้ผลิตและผู้บริโภค
นายณราวุฒิ
ปิยโชติสกุลชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว กล่าวถึงผลการดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว
GAP
ครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ว่า ขณะนี้มีการทำ MOU ระหว่างผู้ประกอบการกับกลุ่มเกษตรกรรวมทั้งสิ้น 536 กลุ่ม เกษตรกร 13,168
ราย มีการซื้อขายข้าวรวม 5,975.71 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 88.802 ล้านบาท
สำหรับพื้นที่จังหวัดสุรินทร์เป็น 1 ในแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ
มีกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ จำนวน 183 กลุ่ม
โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ทำ MOU กับกลุ่มเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ จำนวนทั้งสิ้น 9 บริษัท ได้แก่
บริษัท ข้าว ซี.พี.จำกัด บริษัท เจ พี ไรซ์ อินเตอร์เนชันแนล (1998) จำกัด บริษัท
ไชยศิริ ไรซ์ อินเตอร์เทรด หจก.สุรินทร์ไชยศิริ สหกรณ์อินทรีย์ทัพไทย
โรงสีข้าววิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบุฤาษี สหกรณ์การเกษตรปราสาท จำกัด บริษัท
พูนผล เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เอลล์บา บางกอก จำกัด
โดยข้อมูลการรับซื้อข้าวหอมมะลิอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์
ปีการผลิต 2562/63 พบว่ามีกลุ่มเกษตรกรที่นำข้าวมาขายจำนวน 95 กลุ่ม
ปริมาณการซื้อขายข้าวอยู่ที่ 819.03 ตัน ราคารับซื้อเฉลี่ย 17.45 บาท/กก.
คิดเป็นมูลค่ารับซื้อทั้งสิ้น 13.650 ล้านบาท
นายฐิติวิชญ์
เศรษฐพัฒนชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ พี ไรซ์ อินเตอร์เนชันแนล (1998) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2541 ภายใต้แนวความคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่
ที่มุ่งมั่นผลักดันข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกซึ่งต่อมาทางบริษัทได้ขยายงานในส่วนการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น
มีกำลังการผลิตข้าวสารประมาณ 35,000 ตัน/ปี ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้การรับรองมาตรฐานสากล บริษัทได้รับการรับรองการผลิตและจัดจำหน่ายข้าวสารหอมมะลิไทยตามมาตรฐาน
จากกระทรวงพาณิชย์ภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราชามทอง ตรานำชัย และตราเหรียญทอง
และมาตรฐาน Q จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปัจจุบันมีการรับซื้อข้าวเปลือกโดยได้มีการเชื่อมโยงรับซื้อข้าวกับเครือข่ายจากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
จากกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์
GAP
นาแปลงใหญ่ รวมถึงจากแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ นำมาผลิตและปรับปรุงคุณภาพเพื่อจำหน่ายทั้งในและส่งออกต่างประเทศ
ในรูปแบบข้าวสาร ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (GI) ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว ข้าวไรซ์เบอรี่ น้ำมันรำข้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว
เช่น พาสต้า เส้นหมี่






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น